วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

เขื่อนลำตะคอง สวนท้าวสุรนารี ศูนย์สารสนเทศลิปพัลลภ


เขื่อนลำตะคอง สวนท้าวสุรนารี ศูนย์สารสนเทศลิปพัลลภ


ลำตะคอง คือสายน้ำสำคัญเส้นหนึ่งของชาวโคราช หลังจากสร้างเขื่อนลำตะคอง เมื่อปีพ.ศ. 2512 แล้วจึงเกิดทะเลสาปกว้างใหญ่ที่งดงามโดยเฉพาะยามพระอาทิตย์อัสดงสะท้อนบนแผ่นน้ำ เขื่อนแห่งนี้เป็นเขื่อนดิน ที่สร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำสำหรับการเกษตร อุปโภค และบริโภค และลดความรุนแรงของอุทกภัย
ริมเขื่อนมีที่ให้นั่งหย่อนอารมณ์ และร้านอาหารท้องถิ่นประเภท ไก่ย่าง และส้มตำรสเด็ด หรือผู้ที่ขับยวดยานต์ผ่านไปบนถนนมิตรภาพ ก็สามารถชมวิวทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำของเขื่อนลำตะคองได้เช่นกัน
สร้างปิดกั้นลำตะคอง ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นเขื่อนดินสูง 40.30 เมตร สันเขื่อนยาว 521 เมตร เก็บน้ำได้ 310 ล้านลูกบาศก์เมตร สร้างพ.ศ. 2507 เสร็จพ.ศ. 2512 ใช้ประโยชน์สำหรับการเพาะปลูกในฤดูฝน 127,540 ไร่ และในฤดูแล้งอีก 50,000 ไร่ รวมทั้งใช้เพื่อการประปาในเขตอำเภอสีคิ้ว อำเภอโนนสูง อำเภอขามทะเลสอ และเขตเทศบาล นครราชสีมาเพื่อโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อบรรเทาอุกทกภัยในลุ่มน้ำลำตะคอง ลุ่มน้ำมูลให้ ลดน้อยลง
เขื่อน ลำตะคอง ตั้งอยู่ตำบลลาดบัวขาว ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๖๒ กิโลเมตร มีทางแยกจากทางหลวงหมายเลข ๒ (นครราชสีมา-สระบุรี) บริเวณกิโลเมตรที่ ๑๙๖-๑๙๗ ประมาณ ๒ กิโลเมตร เป็นเขื่อนดินสร้างกั้นลำตะคองที่ช่องเขาเขื่อนลั่นและช่องเขาถ่านเสียดในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เพื่อนำน้ำเหนือเขื่อนมาใช้ประโยชน์ในด้านชลประทาน นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวบนสันเขื่อนเพื่อชมทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำ ซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาสวยงามเหมาะสำหรับพักผ่อนในยามแดดร่มลมตก เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ – ๑๘.๐๐น. 
สวนท้าวสุรนารี ดูแลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ของนครราชสีมา ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่และเขื่อนลำตะคอง เป็นหนึ่งในแผนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำลำตะคอง เป็นสวนป่ากึ่งรุกขชาติและพฤกษศาสตร์ รวมไม้หายากของภาคอีสาน 100 กว่าชนิด พร้อมบริเวณที่พักผ่อน สวนหย่อม ประติมากรรมพานบายศรีทางเดินและทางวิ่ง สวนสุขภาพ และซุ้มจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP
ประติมากรรมพานบายศรี
   หลังจากที่เดินชมสวนท้าวสุรนารีแล้ว แนะนำว่าให้ขับรถไปอีก 1 กิโลเมตรจะถึงที่พักริมทาง และศูนย์สารสนเทศลิปพัลลภ ระยะทาง 1 กิโลเมตรระหว่างสวนท้าวสุรนารี และ ที่พักริมทาง จะมีร้านอาหารมากมาย ตั้งอยู่ริมเขื่อนลำตะคลอง

อนุสรณ์สถานพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจาก สส. นครราชสีมา บนมอเตอร์ไซค์
เมื่อขับรถเข้ามาถึงที่พักริมทาง จะเจอกับอนุสรณ์สถานพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (สวนน้าชาติ) เป็นหินแกะสลักสีเขียว ขับรถไปตามทางอีกนิดนึงจะเจอกับ ศูนย์สารสนเทศ ลิปตพัลลภ
ศูนย์สารสนเทศ ลิปตพัลลภ เกิดขึ้นในสมัยที่นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีนโยบายให้กรรมทางหลวง ก่อสร้างและปรับปรุงที่พักริมทาง เพื่อให้ผู้ขับขี่ ได้เป็นที่พักรถ เปลี่ยนอิริยาบถ เข้าห้องน้ำ และมีบริการข้อมูลทางหลวง โดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และผู้มีจิตศรัทธา ได้บริจาคเงินจำนวน 11 ล้านบาทในการก่อสร้างที่พักริมทางแห่งนี้ด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อ ศูนย์สารสนเทศ ลิปตพัลลภ


เขื่อนลำพระเพลิง
ชื่อทางการเขื่อนลำพระเพลิง
ที่ตั้งอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา
อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน
ความยาว21 กิโลเมตร
เริ่มต้นการก่อสร้างพ.ศ. 2505
วันที่เปิดพ.ศ. 2510

เขื่อนลำพระเพลิง สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 โดยกั้นน้ำที่ภูเขาโซ่ และภูเขาหลวงที่ประชิดกันบริเวณบ้านบุหัวช้าง ตำบลตะขบ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรม และป้องกันอุทกภัย เขื่อนนี้เปิดใช้เมื่อปี พ.ศ. 2510 อยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน

การเดินทาง

ลักษณะของเขื่อนเป็นทะเลสาบยาวไปตามลำน้ำ จากหน้าเขื่อนประมาณ 21 กิโลเมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ถึง 320 ล้านลูกบาศก์เมตร และเหนือเขื่อนมีอาณาเขตรับน้ำกว้างถึง 807 ตารางกิโลเมตร โดยทะเลสาบเหนือเขื่อนนั้นมีภูมิประเทศที่สวยงาม สองฟากฝั่งมีป่าไม้เขียวขจีร่มรื่น ตอนต้นแม่น้ำมีน้ำตกคลองกี่ น้ำตกขุนโจร น้ำตกละอองชมพู ทำให้เขื่อนลำพระเพลิงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการมาพักผ่อน ตกปลา ตากอากาศชมวิวทิวทัศน์ริมอ่างเก็บน้ำ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอปักธงชัย และจังหวัดนครราชสีมา

ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 (กบินทร์บุรี-ปักธงชัย) จากจังหวัดนครราชสีมา เข้าอำเภอปักธงชัยไปประมาณ 4 กิโลเมตร จะพบสี่แยก เลี้ยวขวาเข้าไปประมาณ 28 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการเขื่อนลำพระเพลิง ซึ่งมีบ้านพักรับรอง ห้องประชุม และสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวไว้พร้อม
นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเหมาเรือหางยาวไปชมบรรยากาศภายในอ่างเก็บน้ำ เที่ยวน้ำตกคลองกี่หรือน้ำตกขุนโจนได้ โดยใช้เวลาไป-กลับประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง









 จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม อ.ปักธงชัย

 จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม แหล่งท่องเที่ยวเกษตรเชิงวัฒนธรรมอีสานที่มุ่งสืบสานภูมิปัญญาและสานต่อองค์ความรู้แห่ง "ถิ่นอีสาน" ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ชวนนักท่องเที่ยวสนุกสุขสันต์รับลมหนาวท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ให้คุณได้เพลิดเพลินครบรส ทั้ง "ชม ชิล ช้อป" กับ "จิม ทอมป์สัน ฟาร์มทัวร์ 2558 : มังมูน บุญข้าว" (Jim Thompson Farm Tour 2015 : Mang Moon Boon Khao) 

          สัมผัสมนตร์เสน่ห์แห่งความสวยงามของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ กับ 5 จุดท่องเที่ยวยอดนิยมบนพื้นที่กว่า 600 ไร่ พร้อมเรียนรู้จิตวิญญาณแห่งความเป็น "อีสาน" ผ่านความวิจิตรงดงามของสถาปัตยกรรมอีสานดั้งเดิมหลากหลายรูปแบบ ตื่นตาตื่นใจไปกับกิจกรรมไฮไลท์ประจำปี "มังมูน บุญข้าว" ที่นำเสนอเรื่องราวความผูกพันระหว่าง "ข้าว" กับ "วิถีชีวิตชาวอีสาน" ในแง่มุมของประเพณีวัฒนธรรม พร้อมชมกระบวนการผลิตผ้าไหมอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน ก่อนปิดท้ายทริปด้วยการสนุกช้อปของฝากคุณภาพเยี่ยมจากจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม







วิหารเทพวิทยาคม วัดบ้านไร่ อ.บ้านไร่
ด้วยความอุตสาหะและความสามัคคีของชาวบ้าน ทำให้เกิดวิหารเซรามิคโมเสกกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย! สร้างขึ้นจากความตั้งใจของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่ต้องการให้คนเข้าใจพระพุทธศาสนาได้อย่างง่ายๆ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่สุดแสนอลังการ ตั้งแต่ รูปปั้นพญานาค19 เศียร ประตูท้าวจตุโลกบาล และเศียรช้างขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดแสนจะจรรโลงใจ ต้องไปให้เห็นกับตา









ย่าเหลือ



นางสาวบุญเหลือ หรือ ย่าเหลือ บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะวีรสตรี ที่มีส่วนสำคัญในการกอบกู้เมืองนครราชสีมาร่วมกับท้าวสุรนารี จากการเข้ายึดตีเมือง ของกองทัพเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ ปี พ.ศ. 2369ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3


ประวัติ และวีรกรรมของนางสาวบุญเหลือ

นางสาวบุญเหลือ เป็นบุตรีของ หลวงเจริญ กรมการผู้น้อยแห่งเมืองนครราชสีมา ครอบครัวของหลวงเจริญ มีความใกล้ชิดสนิทสนม และเคารพนับถือ พระยาปลัดเมืองนครราชสีมา และคุณหญิงโม เป็นอันมาก อีกทั้งพระยาปลัดเมือง และคุณหญิงโม ไม่มีบุตร และธิดา จึงได้รัก และเอ็นดูนางสาวบุญเหลือ ดุจว่าเป็นลูกหลานแท้ ๆ 
เมื่อ ปี พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ ได้ยกกองทัพเข้าแผ่นดินไทย จนถึงเมืองนครราชสีมา โดยอ้างว่า มีพระราชโองการให้ยกทัพไปกรุงเทพ เพื่อช่วยรบกับอังกฤษ และเนื่องจากในขณะนั้น เจ้าเมืองนครราชสีมา และพระยาปลัดเมืองไม่อยู่ ไปราชการเมืองขุขันธ์ เจ้าอนุวงศ์จึงยกทัพ เข้ายึดเมืองนคราชสีมาได้โดยง่าย แล้วกวาดต้อนผู้คนชาวนครราชสีมาเป็นเชลยขึ้นไปยังเวียงจันทน์ ในจำนวนเชลยเหล่านั้น มีคุณหญิงโม และนางสาวบุญเหลือรวมอยู่ด้วย
ระหว่างที่กองทัพเจ้าอนุวงศ์ และทหารลาว หยุดพักค้างแรมระหว่างเดินทางไปเวียงจันทน์ ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2369  คุณหญิงโม ร่วมกับ นางสาวบุญเหลือ และหลวงณรงค์สงคราม หัวหน้าชาวเมือง ได้ใช้กลอุบาย โดยให้ชาวเมืองเลี้ยงสุราอาหารแก่ทหารลาวที่ควบคุมตัวมา เมื่อทหารเจ้าอนุวงศ์หลงกลกินเหล้าเมายาจนขาดสติเกือบหมดกองทัพ เมื่อได้โอกาสอันเหมาะสมแล้ว กำลังชาวโคราชที่ทุ่งสัมฤทธิ์ทั้งชาย และหญิง ก็แย่งอาวุธโจมตีเข่นฆ่าทหารลาวจนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำให้แผนกอบกู้อิสรภาพของนครราชสีมาสำเร็จ
และในเหตุการณ์ครั้งนั้น นางสาวบุญเหลือได้เสียสละพลีชีพด้วยการนำไม้ฟืนจากกองไฟ วิ่งหลอกล่อทหาร ตรงไปยังกองเกวียน กระสุนดินประสิวของกองทัพทหารลาว จนเกิดการระเบิด แสงเพลิงแดงฉานไปทั่วท้องทุ่งสัมฤทธิ์ ด้วยการตัดสินใจด้วยปฏิภาณอันห้าวหาญ เด็ดเดี่ยวในวีรกรรมครั้งนี้ ของนางสาวบุญเหลือ ยังคงประทับแน่นอยู่ในความทรงจำ ของลูกหลานชาวนครราชสีมาตลอดไม่รู้ลืม และต่อมาทางราชการ ได้ถือเอาวันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็น วันไทยอาสาป้องกันชาติ


อนุสรณ์สถานนางสาวบุญเหลือ

อนุสรณ์สถานนางสาวบุญเหลือ ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์ ตำบลโคกสูง อำเภอเมือง ห่างจากตัวเมืองนครราชสีมา 12.5 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 205(ถนนสุรนารายณ์)สายนครราชสีมา - ชัยภูมิ ชาวนครราชสีมาได้ร่วมสร้างขึ้น และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของนางสาวบุญเหลือ และเหล่าบรรพบุรุษของชาวนครราชสีมา ที่ได้พลีชีพเพื่อปกป้องชาติ เมื่อครั้งวีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์ ในปีพ.ศ. 2369 นับเป็นอนุสรณ์สถานอีกแห่งหนึ่ง ที่ชาวนครราชสีมา ให้ความเคารพสักการะเป็นอย่างสูง
จังหวัดนครราชสีมา และประชาชนชาวนครราชสีมาพร้อมใจกันสร้าง และทำพิธีเปิดอนุสรณ์สถานนางสาวบุญเหลือ ขึ้นที่โรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์ เมื่อ วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 โดย ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เป็นประธาน และได้มีการกำหนด ให้ทุกวันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันสดุดี วีรกรรมของนางสาวบุญเหลือ โดยผู้ว่าราชการจังหวัด ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชน ได้ร่วมกันสดุดี พร้อมทั้งเปลี่ยนผ้าตะเบงมาน ตามสีแห่งปี มอบพวงมาลัย และวางพวงมาลา ณ อนุสรณ์สถานนางสาวบุญเหลือ

หาดจอมทอง



หาดจอมทอง อยู่ในบริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อนลำมูลบน ใกล้กับเขาจอมทอง ตำบลจระเข้หิน มีความกว้างของหาดจากแนวริมน้ำขึ้นมาเฉลี่ย 80 เมตร ยาว 800 เมตร โดยทำการลงทรายหยาบตลอดแนวทั้งหมด ความหนาของทรายประมาณ 10 เมตร เป็นชายหาดที่เสมอเรียบตามแนวระดับน้ำ ทำให้มีบริเวณพื้นที่ชายหาดและบริเวณที่สามารถลงเล่นน้ำได้ มีบริการให้เช่าห่วงยาง เรือถีบ เก้าอี้พับ ร่มชายหาดและเรือแพอีกด้วย 


การเดินทาง มี 2 เส้นทางคือ
1.จากตัวจังหวัดนครราชสีมา ใช้เส้นทางนครราชสีมา-โชคชัย-ครบุรี ระยะทาง 52 กิโลเมตรถึงตัวอำเภอครบุรี ใช้เส้นทางถนนลาดยางชลประทานมูลบน-ลำแชะ ที่อำเภอครบุรี-หาดจอมทอง ระยะทาง 17 กิโลเมตร รวมระยะทางจากตัวจังหวัดนครราชสีมา-ครบุรี-หาดจอมทอง ประมาณ 69 กิโลเมตร
2.จากตัวจังหวัด ไปอำเภอปักธงชัย จนถึงสามแยกปอแดง(ทางหลวงหมายเลข 304 -กบินทร์บุรี) เลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางชลประทาน-ปอแดง ประมาณ 20 กิโลเมตร ถึงเขื่อนมูลบนจากเขื่อนฯไปอีก 5 กิโลเมตรถึงหาดจอมทอง รวมระยะทางจากตัวจังหวัดนครราชสีมา-ปักธงชัย-หาดจอมทอง ประมาณ 60 กิโลเมตร


หาดชมตะวัน

หาดชมตะวัน อยู่ในความรับผิดชอบของที่ทำการเขตจัดการอุทยานแห่งชาติทับลานที่ 4 (ลำปลายมาศ) ซึ่งดูแลรักษาพื้นที่ป่าในอุทยานแห่งชาติทับลานด้านอำเภอเสิงสาง อำเภอครบุรี และอำเภอวังน้ำเขียว พื้นที่ริมอ่างเก็บน้ำได้รับการพัฒนาให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชนและเป็นที่ประกอบอาชีพของชาวบ้านลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำและรับประทานอาหาร รวมทั้งยังชมทิวทัศน์อันสวยงาม หรือพักแค้ม ปิ้งได้ อาจเช่าเรือหางยาวล่องไปตามลำน้ำ เดินป่าชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น วังผีเสื้อ (มีเฉพาะในฤดูหนาว) ถ้ำพระ ถ้ำคอมมิวนิสต์ ที่มีตัวอักษรเขียนที่ผนังถ้ำว่า “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” และ ต้นตะเคียนทองยักษ์ ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุประมาณพันปี ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 4444 8386  สถานที่ตั้ง หมู่ที่ ๖ บ้านราษฎร์สามัคคี ตำบลบ้านราษฎร์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา


สิ่งดึงดูดใจ
หาดชมตะวันเป็นหาดทรายน้ำจืดของเขื่อนลำปลายมาศ เป็นสถานที่ชมตะวันขึ้นและตกได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ ๙๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน จะมีนกเป็ดน้ำอพยพมาจากไซบีเรีย โดยแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเกือบหนึ่งแสนคนต่อปี

สิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเที่ยว
การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวมีความสะดวกสูงมาก โดยเป็นถนนลาดยางที่สามารถใช้เดินทางได้ตลอดทั้งปี มีรถประจำทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว มีร้านอาหารและป้อมยามจุดแจ้งเหตุพร้อมทั้งอาคารบริการของ อุทยานแห่งชาติทับลานคอยให้บริการ มีบริการล่องแพและเรือ




การเดินทาง จากนครราชสีมาไปอำเภอเสิงสาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 224 ต่อด้วยทางหลวง 2071 และ 2119 ตามลำดับ ระยะทาง 89 กิโลเมตร เมื่อถึงสี่แยกอำเภอเสิงสางเลี้ยวขวาไปตามทางหลวง 2317 อีกประมาณ 15 กิโลเมตร

วัดศาลาลอย

วัดศาลาลอย ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมือง โดยแยกจากถนนรอบเมืองไปประมาณ 500 เมตร วัดนี้ตั้งอยู่ติดกับลำตะคองซึ่งไหลพาดผ่านตอนเหนือของตัวเมืองไปลงสู่แม่น้ำมูล ท้าวสุรนารีกับท่านปลัดสามีสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2370

จุดเด่นของวัดอยู่ที่พระอุโบสถซึ่งได้รับรางวัลดีเด่นแนวบุกเบิกอาคารทางศาสนา จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรางวัลจากมูลนิธิเสฐียรโกเศศและนาคะประทีป ในปี พ.ศ. 2516 เป็นอุโบสถที่สร้างแบบศิลปไทยประยุกต์ เป็นรูปสำเภาโต้คลื่น ใช้วัสดุพื้นเมืองคือกระเบื้องดินเผาด่านเกวียนนำมาประดับตกแต่ง เช่น ผนังด้านหน้าอุโบสถเป็นภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ ผนังด้านหลังเป็นภาพตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ส่วนบานประตูเป็นโลหะลายนูน ภาพเล่าเรื่องเวชสันดรชาดก (13 กัณฑ์) ภายในมีพระประธานปูนปั้นสีขาว ปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปยืนประทับ ณ ประตูเมืองสังกัสนคร หน้าประตูอุโบสถมีปูนปั้นรูปท้าวสุรนารีนั่งพนมมือกลางสระน้ำ ตัวอุโบสถล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วรูปเสมา สัญลักษณ์ของเมืองเสมาเดิม ด้านข้างมีสถูปขนาดเล็กซึ่งเคยใช้เป็นที่บรรจุอัฐิท้าวสุรนารี

ด่านเกวียน


     ด่านเกวียน เป็นหมู่บ้านหนึ่งของ ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย ห่างจากตัวเมืองนครราชสีมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 15 กิโลเมตร โดยมีทางหลวงหมายเลข 224 สายนครราชสีมาโชคชัยผ่านกลางหมู่บ้านซึ่งมีร้านค้าเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน เรียงรายอยู่สองฟากฝั่งและมีลำน้ำมูลทอดขนานอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกหมู่บ้าน ด่านเกวียนนั้นแต่เดิมพ่อค้าจากนางรอง - บรีรัมย์ - สุรินทร์ -ขุนหาญ - ขุขันธ์ เรื่อยไปจนถึงเขมรจะเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวโคราชและมักจะพักกองคาราวานเกวียนกัน เป็นประจำจนได้ชื่อ หมู่บ้านว่า" บ้านด่านเกวียน " และในขณะพัก พ่อค้าเหล่านั้นก็มักนำดินจากสองฟากฝั่งลำน้ำมูล มาทำภาชนะใช้สอยต่างๆ เช่น โอ่ง อ่าง ไหปลาร้า ฯลฯ โดยลอกเลียนแบบจากชนชาวข่าวซึ่งเป็นกลุ่มชนที่อาศัยในพื้นที่แต่เก่าก่อนหลังจากนั้นเมื่อนำภาชนะเหล่านั้นกลับภูมิลำเนาของตน และด้วยคุณภาพพิเศษ ของภาชนะทั้งในด้านสีสันความคงทนต่อการใช้งาน จึงทำให้ภาชนะด่านเกวียนเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนจนได้รับการเผยแพร่ มากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งได้รับความสนใจยิ่ง จนกลายเป็นสินค้าหนึ่งในการค้าขายกันในยุคอดีตจวบจนปัจจุบัน....ลักษณะเฉพาะของเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนนั้นอยู่ที่ดินที่นำมาใช้ กล่าวคือดินด่านเกวียนเป็นดินเหนียวเนื้อละเอียดที่ขุดขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำมูล (ซึ่งห่างออกไปจากทางหลวง 224 ทางทิศตะวันออกประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร)ในพื้นที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า กุด หรือแม่น้ำด้วน(ลักษณะลำน้ำที่คดเคี้ยว กัดเซาะตะลิ่งจนขาดและเกิดลำน้ำด้วนขึ้น ส่วนที่เป็นแนวกัดเซาะจะกลายเป็นแหล่งทับทมดิน ดินดังกล่าวนี้เป็นดินซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ ง่ายต่อการขึ้นรูปทนทานต่อการเผา ไม่บิดเบี้ยวหรือแตกหักง่าย และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือดินนี้เมื่อถูกเผาจะให้สีโดยธรรมชาติเป็นสีแดงซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากธาตุเหล็ก (Iron Oxide) หรือสนิมเหล็กที่มีอยู่จำนวนมากในเนื้อดิน)
ครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน แต่เดิมมานั้นเป็นประเภทของใช้ในครัวเรือน เช่น โอ่ง อ่าง ครก 
ไหปลาร้า ต่อมาได้คิดทำที่รองขาตู้กับข้าว กระถางปลูกต้นไม้ ตะเกียงน้ำมันหมู โทน แจกัน การปั้นจะมีในช่วงฤดูหลังเก็บเกี่ยวแล้ว เป็นงานอดิเรก คนปั้นจะต้องทำเองทั้งหมดตั้งแต่นวดดิน ปั้น เผา วันหนึ่ง ๆ จะปั้นเฉพาะแค่จำนวนพะมอนที่มีอยู่เท่านั้น ไม่ได้ปั้นเพื่อหวังจะให้ได้จำนวนมาก ๆ ดังนั้นในช่วงเช้าอาจจะนวดดิน ช่วงบ่าย ๆ ก็จะปั้น บางวันก็ทำ บางวันก็ไม่ทำ เมื่อได้มากพอสมควรแล้วจึงเผา หลังจากนั้นจะบรรทุกเกวียนนำไปแลกข้าว พริก เกลือ หรือมีพ่อค้าจากหมู่บ้านใกล้เคียงและอำเภออื่น ๆ เช่น บ้านยองแยง บ้านพระพุทธ บ้านพะไล พิมาย นางรอง ฯลฯ มาซื้อเพื่อนำไปจำหน่ายต่อไป โดยใช้เกวียนเป็นพาหนะบรรทุกคราวละประมาณ 50 ถึง 100 เล่มเกวียน มาพักแรมเพื่อรอรับเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งพ่อค้าเหล่านี้จะเริ่มทยอยมาตั้งแต่เดือนอ้าย เดือนยี่ จนถึงเดือนหก พอฝนเริ่มตกก็จะหยุดเพื่อกลับไปทำนา
     ราวปี พ.ศ. 2500 คณาจารย์ในคณะสถาปัตยกรรม นำโดย อาจาย์วทัญญู ณ ถลาง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) (จ.นครราชสีมา) ได้ร่วมกันสำรวจศิลปะพื้นบ้าน และพบความแปลกใหม่ของวัสดุดินด่านเกวียน จึงได้ร่วมมือกันออกแบบให้มีรูปทรงที่แปลก เช่น ม้ารองนั่ง (stool) ตะเกียงหิน แจกันลวดลายเรขาคณิต เพื่อใช้ตกแต่งภายในวิทยาลัย และช่วยกันเผยแพร่เรื่องราวของดินด่านเกวียนไปในหมู่สถาปนิกทั่วประเทศ ต่อมาได้มีผู้สนใจออกแบบให้มีรูปร่างที่แปลก ๆ และนำไปใช้ในงานตกแต่งภายใน ภายนอก และงานทางด้านสถาปัตยกรรมมากขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของด่านเกวียนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ทั้งหมู่ชาวไทย และต่างประเทศปัจจุบันการผลิตเครื่องปั้นดินเผา ได้ขยายแนวทางการออกแบบ ตลอดจนการนำไปใช้หลากหลาย มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วยในการผลิต เช่น การใช้แบบหล่อปูนพลาสเตอร์ การใช้เครื่องจักรนวดดิน การใช้เครื่องอัดกระเบื้อง การเตรียมดิน เริ่มมีการใช้ดินขาวมาเป็นส่วนผสมบ้าง เอามาตกแต่งลวดลายบ้างวิธีนี้นอกจากจะขึ้นรูปด้วยการขึ้นแป้นหมุนแล้ว วิธีอิสระก็ได้รับความนิยมมากในหมู่ช่างปั้นพื้นบ้าน ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว การใช้แบบพิมพ์กด และการหล่อ เริ่มมีแต่ไม่มากนัก ส่วนการเคลือบมีเพียงแห่งเดียว คือ ร้านดินเผา การย้อมสีดินเผาให้เหมือนของเก่า เช่นการย้อมสีปลา และลวดลายกระเบื้องดินเผา มีเป็นส่วนน้อย
     สำหรับเรื่องการออกแบบ ที่นิยมกันมากนอกจากแจกัน โอ่ง อ่าง แล้ว ได้มีการประดิษฐ์นกฮูกแฝดตั้ง กระเช้าแขวนนกฮูก กระเช้ารูปปลาแขวน นกยูงเดี่ยว นกยูงคู่ แมว กบ คางคก รูปปลาตั้งหางสะบัด โคมไฟ กระถาง ส่วนประเภทของที่ระลึก ได้แก่ สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู เข็มขัด พวงกุญแจ ตุ๊กตาดินเผา กระเบื้องประดับผนังดินเผา กระเบื้องปูพื้น

ฟาร์มโชคชัย - จังหวัดนครราชสีมา


ฟาร์มโชคชัย - จังหวัดนครราชสีมา




ท่องเที่ยวฟาร์มโชคชัย (Agro Tour)สถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพียง 159 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ที่จะนำทุกท่านเข้าร่วมสัมผัสกลิ่นไอของการทำฟาร์มโคนมมาตรฐานขนาดใหญ่ในสถานที่ประกอบการจริงโดยมีผู้นำชมตลอดรายการ
- ชมวิดีทัศน์ประวัติความเป็นมากว่า 40 ปี ของฟาร์มโชคชัย
- ก่อนเข้าสู่ฟาร์มทุกท่านจะต้องผ่านละอองสเปรย์น้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจติดมากับเสื้อผ้าและรองเท้า ก่อนเข้าสู่ฟาร์ม
- พิพิธภัณฑ์เครื่องจักรเก่าซึ่งรวมรถที่มีความสำคัญในการบุกเบิกและพัฒนาจนมาเป็นฟาร์มโชคชัยในปัจจุบัน
- เข้าถึงกระบวนการสาธิตการรีดนมด้วยเครื่องรีดนมอัตโนมัติและการสาธิตการรีดนมด้วยมือ พร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์การรีดนมด้วยมือคุณเอง
- รับฟังการบรรยายกระบวนการผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ และไอศกรีมที่โรงงานผลิตนม ลิ้มลองผลิตภัณฑ์คุณภาพจากคุณค่านมสดแท้ ๆ ในแบรนด์ อืม!..มิลค์
- สัมผัสทัศนียภาพและอากาศบริสุทธิ์ในท้องทุ่งกว้างโดยขบวนรถฟาร์มแทรกเตอร์ชมคอกแม่โคพันธุ์ดี รับรู้เรื่องพืชอาหารสัตว์ และการหมุนเวียนทรัพยากรน้ำภายในฟาร์ม
- สนุกสนานกับเกมการละเล่นนานาชนิดในวิถีชีวิตแบบคาวบอย ตื่นตาตื่นใจกับการต้อนโคสไตล์คาวบอย ในบรรยากาศท้องทุ่งเลี้ยงสัตว์เขียวขจี ค้นพบประสบการณ์ขี่ม้าที่ให้คุณโพสท่าเป็นคาวบอยได้อย่างจุใจ
- หฤหรรษ์กับการแสดงอันน่ารักของสุนัขต้อนแกะ และชมการฝึกสุนัขนานาพันธุ์ สนุกสนานเพลิดเพลินที่สวนสัตว์เปิดขนาดย่อม กับหลากหลายกิจกรรม อาทิเช่น การป้อนอาหารกวาง กระต่ายและการป้อนนมลูกโคตัวน้อย รวมทั้งการแสดงของสัตว์แสนรู้ อีกมากมายที่คุณต้องประทับใจ
- แวะอิ่มอร่อยด้วยสเต็คเลิศรสหลากเมนู ที่โชคชัยสเต็คเฮ้าส์ หรืออีกหนึ่งทางเลือกที่สเต็คเบอร์เกอร์ เนื้อนุ่มเต็มคำ ฝีมือคนไทยและปิดท้ายด้วยผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์ และไอศกรีมนมสด อืมม!..มิลค์ พร้อมเลือกสรรของที่ระลึกสไตล์คาวบอยที่โชคชัยซูวีเนียร์
กำหนดการเข้าชม
อัตราค่าเข้าชมฟาร์ม
ผู้ใหญ่ : 200 บาท เด็ก : (สูงไม่เกิน 140 ซ.ม.) 100 บาท
เปิดเข้าชมเป็นรอบ
วันอังคารถึงวันศุกร์ 10.00 น. / 14.00 น.
ทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดต่อเนื่อง
09.00 น. / 10.00 น. / 11.00 น. / 13.00 น. / 14.00 น. / 15.00 น.
หมายเหตุ :
1. วันเวลาและกิจกรรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม และอาจเปิดรอบเสริมได้
2. เปิดให้เข้าชมเป็นรอบ โดยมีเจ้าหน้าที่นำชม
3. หยุดทุกวันจันทร์
4 ใช้เวลาประมาณ 2 ช.ม.ครึ่งต่อ 1 รอบ
5. รับได้จำนวนจำกัดเพียง 80 ท่านต่อรอบ
ตรวจสอบเวลาและซื้อบัตรล่วงหน้า
- สำนักงานใหญ่ โทร. 0-2532-2846 ต่อ 150-157
- ฟาร์มโชคชัย โทร. 0-4432-8485 ต่อ 116 หรือ 0-4432-8386
- โชคชัย (ไพร์ม) สเต็คเฮ้าส์ ซอยเชื่อมระหว่างสุขุมวิท 21 -23 โทร. 0-2259-9596-7

ปราสาทนางรำ

ปราสาทนางรำ ตั้งอยู่ที่บ้านนางรำ ตำบลนางรำ ไปตามทางหลวงหมายเลข 2 (นครราชสีมา-ขอนแก่น) ประมาณ 62 กิโลเมตร จนถึงแยกบ้านวัด เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 207 ไปประมาณ 22 กิโลเมตรถึงบ้านหญ้าคา (หรือก่อนถึงตัวอำเภอประทาย 11 กิโลเมตร) จากนั้นเลี้ยวซ้ายทางเข้าวัดปราสาทนางรำอีก 4 กิโลเมตร ชื่อ ปราสาทนางรำ มาจากว่า เดิมเคยมีรูปนางรำ เป็นหินสีเขียวทำแบบเทวรูป อยู่ทางทิศตะวันตกของวิหารห่างไป 1.5 กิโลเมตร ปัจจุบันเหลือแต่ร่องรอยของเทวสถานและแท่นหิน ปราสาทนางรำเป็นโบราณสถานสมัยขอมที่เรียกว่าเป็น อโรคยาศาล (โรงพยาบาล) สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ประกอบด้วยกลุ่มโบราณสถาน 2 กลุ่มตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน กลุ่มปรางค์ที่สมบูรณ์กว่าหลังอื่น


ประกอบด้วยปรางค์องค์กลาง มีมุขยื่นออกไปข้างหน้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทมีวิหารก่อด้วยศิลาแลงหันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ ส่วนซุ้มโคปุระหรือประตูทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวันออก มีแผนผังเป็นรูปกากบาท นอกกำแพงด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีสระน้ำขนาดเล็กก่อด้วยศิลาแลง ถัดจากปราสาทนางรำไปทางทิศใต้ มีปราสาทอีก 3 หลังเรียงกันในแนวเหนือ-ใต้ ซึ่งเหลือเพียงฐานและมีกรอบประตูและทับหลังหินทรายตั้งแสดงอยู่ มีกำแพงศิลาแลงและคูน้ำรูปเกือกม้าล้อมรอบ  

ประตูชุมพล

ประตูชุมพล ตั้งอยู่ด้านหลังอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองนครราชสีมาเป็นเมืองหน้าด่านเมื่อ พ.ศ. 2199 อันเป็นปีที่พระองค์เสด็จขึ้นครองกรุงศรีอยุธยา และสร้างกำแพงประตูเมืองอย่างแข็งแรง โดยมีช่างชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นมิตรประเทศกับกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น เป็นผู้ออกแบบผังเมือง เมืองนครราชสีมาในขณะนั้นมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 1,000 x 1,700 เมตร เดิมมีประตูเมืองทั้งหมด 4 ประตู


ได้แก่ประตูพลแสนด้านทิศเหนือ ประตูพลล้านด้านทิศตะวันออก ประตูไชยณรงค์ด้านทิศใต้ และประตูชุมพลด้านทิศตะวันตก ปัจจุบันเหลือเพียงประตูชุมพลเท่านั้นที่เป็นประตูเมืองเก่า ส่วนอีกสามประตูได้สร้างขึ้นใหม่ ลักษณะประตูชุมพลเป็นประตูเชิงเทิน ก่อด้วยหินก้อนใหญ่และอิฐ ฉาบด้วยปูน ส่วนบนเป็นหอรบสร้างด้วยไม้แก่นหลังคามุงกระเบื้อง ประดับด้วยช่อฟ้า กระจังและนาคสะดุ้ง กำแพงต่อจากประตูทั้งสองข้างก่อด้วยอิฐ ส่วนบนสุดทำเป็นรูปใบเสมา

วัดป่าหลักร้อย

 วัดป่าหลักร้อย
วัดป่าหลักร้อย สถานที่ท่องเที่ยวอีกที่จะแนะนำ เป็นวัดครับ แต่ไม่ใช่วัดธรรมดาเป็นวัดที่จัด แสดงให้เราได้รับรู้เรื่องของ นรกและสวรรค์
ทางวัดสื่อ ออกมาให้ได้รับรู้  ในการทำดี และทำชั่ว ผลที่ได้รับจะเป็นในรูปแบบใดบ้าง ให้เห็นเป็นรูปธรรม ตามแนวความเชื่อทาง พระพุทธศาสนา  มีทังเป็นส่วน เทพเจ้าของจีน อินเดีย ไทย  ดินแดนนรก ดินแดนสวรรค์ ในแบบของรูปป้น 
การเดินทางไม่ไกลครับ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 35 km.เส้นทางสายโคราช - โนนไทย ก่อนถึงอำเภอโนนไทย 3 km. อยู่ ด้านช้ายมือนะครับ ถ้าผ่านเส้นทางนี้อย่าลืมแวะนะครับ เพื่อการเข้าวัดป่าหลักร้อย อาจจะให้อะไรดีๆแก่เรา และมันอาจเป็นสิ่งดีๆที่แฝงอยู่กับสิ่งที่ทางวัดนำเสนอ ออกมาให้เราได้รับรู้นะครับ

สวนสัตว์นครราชสีม



 สวนสัตว์นครราชสีมา



สวนสัตว์นครราชสีมา ซาฟารีเมืองไทย สวนสัตว์ที่ยิ่งใหญ่แห่งภาคอีสาน เป็นสวนสัตว์ที่มีความทันสมัยและการจัดการที่ได้มาตรฐานที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย ตั้งอยู่ห่างจาก ตัวเมือง 13 กม. มีพื้นที่ 545ไร่ ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบดินลูกรัง มีการปรับพื้นที่เป็นลูกคลื่นทำให้มองดูคล้ายทุ่งหญ้าสะวันนา จึงได้มีการนำสัตว์จากแอฟริกามาจัดแสดง
ตั้งอยู่เลขที่
111 หมู่1 ตำบลไชยมงคล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา  
โทร. (044) 934-537-8 โทรสาร (044) 934-537
เวลาทำการ 08.00-18.00 น. ทุกวัน
อัตราค่าเข้าชม
ชาวไทย
ผู้ใหญ่ 70 บาท ปวส.-มหาวิทยาลัย 30 บาท เด็กเล็ก-ปวช. 15 บาท ครู ทหาร ตำรวจ (ในเครื่องแบบ) 30 บาท ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) คนพิการ พระภิกษุ สามเณร ชมฟรี
ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท
บริการทั่วไปรถไฟเล็ก , จักรยานนาวา , จักรยานให้เช่า , ร้านขายของที่ระลึก , ร้านอาหาร
การเดินทาง
ขับรถมาทางเส้นถนนราชสีมา-ปักธงชัย ประมาณ 1.3 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ประตูทางเข้าอยู่ซ้ายมือ
สิ่งที่น่าสนใจ สวนสัตว์นครราชสีมาพลาซ่าและลานเอนกประสงค์ เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจในลักษณะของการจัดปิกนิค หรือรับประทานอาหาร พักผ่อนใต้ร่มไม้ นอนอ่านหนังสือ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่สมาชิกในครอบครัวร่วมกันทำ เช่น การนำอาหารมาทานนอกบ้าน เนื่องจากบริเวณนี้เป็นสนามหญ้าโล่ง รายรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ จัดภูมิทัศน์ไว้อย่างสวยงาม
มีศาลาไทยพักร้อน 2 หลัง ตรงกลางมีสนามหญ้าสำหรับรองรับกิจกรรม ลานน้ำพุ อาคารศูนย์ประชาสัมพันธ์ ต่อเนื่องไปยังอุทยานสัตว์โลกล้านปีทางด้านหลังด้วย 

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ มีลักษณะเป็นอาคารสถาปัตยกรรมทรงไทย 2 ชั้น ชั้นล่างจัดแสดงนิทรรศการข้อมูลสัตว์สำคัญๆ ของสวนสัตว์ไว้ เพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาของเยาวชน ในลักษณะนิทรรศการภาพกล่องไฟ (ดูราแทน) โมเดลจำลองพื้นที่สวนสัตว์และกระดานข้อมูลข่าวสาร หรือบอร์ดนิเทศ นอกจากนี้ในอาคารยังเป็นห้องส่งกระจายเสียงตามสาย
ครอบคลุมพื้นที่ 545 ไร่ ของสวนสัตว์ มีโทรทัศน์ติดตั้งทั้ง 4 มุมของอาคาร มีระบบเสียงเพื่อรองรับการทำกิจกรรมต่างๆ 
อุทยานสัตว์โลกล้านปี มีพื้นที่กว่า 4 ไร่ ออกแบบตกแต่งและจัดแต่งภูมิทัศน์ให้คล้ายกับดินแดนย้อนยุค ภายในพื้นที่จัดสร้างหุ่นจำลองไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ ขนาดใกล้เคียง
ของจริงกว่า 20 ชนิด มีทั้งประเภทกินพืชที่เราคุ้นเคยอย่างเจ้าสูงใหญ่ คอยาว รูปร่างใหญ่ยักษ์ คือ บราคิโอซอรัส และประเภทกินเนื้อที่ดุร้ายอย่างไทรันโนซอรัส ซึ่งเด็กๆ
ชื่นชอบเป็นพิเศษ โดยแต่ละชนิดจะมีชื่อยุคที่ค้นพบ แหล่งที่ค้นพบ และข้อมูลอื่นๆ เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับเด็ก และผู้สนใจทั่วไป  

     อาคารสัตว์เลื้อยคลาน แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนจัดแสดงชนิดงูต่างๆ ทั้งมีพิษและไม่มีพิษขนาดเล็กกว่าดินสอไปจนขนาดใหญ่ เช่น งูหลามและงูเหลือม โดยเฉพาะงูหลามทอง สีสันแปลกและหายาก นอกจากนี้ยังเชื่องสามารถมาพาดคอถ่ายรูปได้ด้วย หรืองูจงอาง (King Cobra) ซึ่งยาวเกือบ 5 เมตร กินงูสดๆ ทั้งตัวเป็นอาหาร หาดูได้ยากเหมือนกัน การชมงูที่นี่จะชมผ่านกระจกหนา ก่อสร้างแข็งแรงรับรองความปลอดภัย ส่วนนี้เป็นการจัดแสดงภายในอาคาร (Indoor) ส่วนที่ว่างตรงกลางจะเป็นสวนหย่อม
ลักษณะโอเอซีส (Oasis) มีต้นไม้ใบหญ้า แหล่งน้ำสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลื้อยคลานอีกประเภทหนึ่ง คือ กลุ่มของอีกัวนา ตะกวด เหี้ย ตุ๊ดตู่ 
สวนสัตว์นครราชสีมา ซาฟารีอีสาน ด้วยพื้นที่ทั้งหมด 545 ไร่ มีการแสดงสัตว์ป่านานาชนิด อยู่ในความดูแลทั้งหมดประมาณ 1,800 ตัว เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเหมาะสมตามหลักภูมิศาสตร์ การนำสัตว์จากแอฟริกามาจัดแสดงได้แก่ "The Big Five" 5สัตว์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งทุ่งหญ้าแอฟริกา ได้แก่สิงโต เสือดาว-เสือดำ ช้างแอฟริกา แรดขาว ควายป่าแอฟริกา นอกจากนั้นยังมียีราฟ ม้าลาย กลุ่มแอนติโลป ครอบครัวลิงซิมแปนซีใหญ่ที่สุด การแสดงแมวน้ำ มหาวิทยาลัยแมวน้ำแห่งแรกในประเทศไทย อาคารสัตว์หากินกลางคืน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ศูนย์ประชุมสัมมนา บ้านพักริมสระน้ำ


ผาเก็บตะวัน


ผาเก็บตะวัน
ผาเก็บตะวัน ตั้งอยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ 11 (ไทยสามัคคี) ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ห่างจากถนนหมายเลข 304 ประมาณ 13 กม. ซึ่งเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม สามารถ ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าในยามเย็น และเป็นที่ตั้งของ หลักแบ่งเขตจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดนครราชสีมา ที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นแหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก อีกด้วย

พระอาทิตย์อัสดงตรงผาเก็บตะวัน วิวนี้เป็นภาพที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของการชมพระอาทิตย์ตกที่วังน้ำเขียวสำหรับในฤดูหนาวอาจจะมีลุ้นได้ชมทะเลหมอกตอนเช้าก็ต้องไปหาจุดชมวิวสวยๆ นั่งรอกัน

เก็บตะวัน นี่เองเป็นที่มาของคำว่าเก็บตะวัน คือเอาหนังสะติ๊กยิงพระอาทิตย์ ซะเลย การมาปลูกป่าของเราในบางครั้งก็เลือกที่จะมาเย็นๆ รอชมพระอาทิตย์ตกก่อนค่อยเดินทางเข้าที่พักที่วังน้ำเขียว กิจกรรมการปลูกป่าจนถึง เมษายน 2554 ที่ไปมาล่าสุดก็ยังคงใช้หนังสะติ๊กแต่เปลี่ยนเป็นแบบมีราวติดตั้งด้านหนังสะติ๊กอย่างแน่นหนาสำหรับคนที่ใช้ไม่เป็นเดี๋ยวอาจจะเกิดอันตรายได้ แต่ก็ยังมีแบบถือให้ยิงกันถนัดๆ สำหรับคนที่ใช้มันเป็น

แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเขาใหญ่


น้ำตกเหวนรก

เป็นน้ำตกที่เกิดจากคลองท่าด่าน น้ำตกเหวนรกเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นน้ำตกที่มีความสูงและสวยงามมากแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่เดิมก่อนที่จะมีการตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่นั้น จะต้องเดินเท้าเข้ามาโดยใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง แต่หลังจากตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่เสร็จแล้ว ถนนตัดผ่านใกล้น้ำตกเหวนรกมาก โดยมีลานจอดรถห่างจากตัวน้ำตกเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ระหว่างทางสามารถเดินชมธรรมชาติอันสวยงามสองข้างทางได้ เมื่อถึงตัวน้ำตกจะมีบันไดลงไปอีกราว 50 เมตร ซึ่งค่อนข้างแคบและชัน แต่เมื่อลงไปถึงจุดชมวิวก็จะเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกได้อย่างสวยงาม หากไปในฤดูฝนมีน้ำมาก ละอองน้ำจะกระเซ็นต้องกับแสงอาทิตย์เป็นสายรุ้งอย่างงดงาม แต่หากมาชมในหน้าแล้งนั้นอาจต้องผิดหวังเพราะไม่มีน้ำ เห็นแต่เพียงหน้าผาแห้งๆ เท่านั้น
ระหว่างทางเดินมายังน้ำตกเหวนรกนี้ จะสังเกตเห็นแนวคันปูนเป็นระยะ สร้างขึ้นเพื่อป้องกันช้างพลัดตกไปยังน้ำตก ตั้งแต่ในปี 2530 จะมีช้างตกลงไปยังผาข้างล่างปีละเชือกหรือสองเชือกเสมอ และในครั้งใหญ่ที่สุดปี 2535 มีช้างโขลงหนึ่งจำนวน 8 เชือกหลงเข้ามาและถูกกระแสน้ำพัดตกลงไปตายหมด ทางอุทยานแห่งชาติจึงได้สร้างแนวป้องกันนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันอันตรายแก่ช้างป่ามิให้เกิดขึ้นอีก
ในความเป็นจริงแล้ว น้ำตกเหวนรกนั้นมีอยู่ 2 ชั้น ที่ได้ชมนี้เป็นชั้นที่ 1 โดยมีความสูงของตัวน้ำตกประมาณ 50 เมตร ส่วนชั้นที่ 2 และ 3 นั้นอยู่ห่างออกไป ซึ่งชั้นที่สองนี้มีความสูงมากกว่าชั้นแรกเสียอีก ในความเป็นจริงแล้วมีเส้นทางสำรวจป่าของทางอุทยานเพื่อไปยังผาอีกด้านหนึ่งเพื่อชมทัศนียภาพของน้ำตกชั้นที่สองและสามแต่ไม่ได้เปิดให้เข้าชมโดยทั่วไปเนื่องจากเป็นทางเข้าไปในป่าดิบ มีสัตว์ป่าออกหากินตลอด หากต้องการเข้าชมควรติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานนำทางเข้าไปเพื่อความปลอดภัย และหากต้องการชมทัศนียภาพของน้ำตกชั้นที่ 2 และ 3 ให้สวยงามที่สุด ควรเดินทางมาชมในช่วงกันยายนหรือตุลาคม เนื่องจากจะมีน้ำมาก ตกลงมาเป็นละออง และหากมาชมในช่วงเวลา 10 นาฬิกา จะเป็นเวลาพอเหมาะที่แสงอาทิตย์ตกกระทบกับละอองน้ำตกเกิดเป็นสายรุ้ง โดยรวมความสูงของน้ำตกชั้นที่ 2 และ 3 นี้ประมาณ 150 เมตร

น้ำตกเหวสุวัต

บางคนกล่าวไว้ว่า ชื่อน้ำตกเหวสุวัตนี้ เกิดจากมีโจรชื่อสุวัต หนีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาจนมุมยังน้ำตกแห่งนี้ เลยตัดสินใจกระโดดลงมายังแอ่งน้ำเบื้องล่าง แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน เป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น
เป็นน้ำตกอีกแห่งที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเกิดจากห้วยลำตะคองไหลตกผ่านหน้าผาสูงราว 25 เมตร และมีแอ่งน้ำทางด้านล่างเหมาะแก่การเล่นน้ำเป็นอย่างมาก แต่ทางอุทยานแห่งชาติได้มีป้ายประกาศว่าห้ามเล่นน้ำไว้เนื่องจากกลัวอันตรายว่าจะมีน้ำป่าไหลหลากเฉียบพลัน ในฤดูฝนสายน้ำที่ตกลงมาจะเป็นละอองกระจายเต็มไปหมด ทำให้รู้สึกสดชื่นเย็นสบาย แต่หากมาในฤดูน้ำน้อย จะสามารถเดินลัดเลาะเพื่อเข้าไปยังโพรงถ้ำเล็กๆ ใต้หน้าผาน้ำตกได้
สำหรับห้วยลำตะคองนี้ หลังจากผ่านน้ำตกเหวสุวัตแล้ว ยังมีน้ำตกเหวไทรและน้ำตกเหวประทุนที่อยู่ลึกเข้าไปอีก แต่จะต้องเดินผ่านป่าลึกฝ่าดงทากเข้าไป ควรมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วยเนื่องจากในป่าลึกนั้นเส้นทางไม่ชัดเจน อาจพลัดหลงได้ง่าย
จุดชมวิวผาเดียวดาย
อยู่บนยอดเขาเขียว สามารถขับรถยนต์เข้าไปถึงแต่ถนนไม่ค่อยดีนักเนื่องจากมีหินถล่มบ่อยทำให้ผิวถนนเสียหายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ถนนยังชันและเป็นโค้งหักศอกอีกด้วย เมื่อขึ้นไปเกือบถึงยอดเขาก็จะมีที่จอดรถให้บริเวณใกล้กับผาเดียวดาย ซึ่งระหว่างทางจะเดินผ่านเส้นทางศึกษาธรรมชาติ โดยเส้นทางนี้มีความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณต่างๆ มากมาย ที่น่าสนใจ เช่น ช้องนางคลี หญ้าข้าวกล่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีไม้ใหญ่อื่นๆ ซึ่งมักถูกปกคลุมด้วยมอสเป็นสีเขียวแลดูสดชื่น และยังมีไม้หอมพวกกฤษณาอีกด้วย ใช้เวลาเดินผ่านป่าดิบชื้นนี้ประมาณ 15 นาที ก็จะถึงจุดชมวิวผาเดียวดาย แลเห็นเขาสมอปูนทางขวามือและทุ่งงูเหลือมอยู่ตรงกลาง
หากโชคดี เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาเดียวดายนี้ อาจพบนกหายากบางชนิด เช่น นกเงือก นกปรอดดำ นกแซงแซวหางบ่วง เป็นต้น